วันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2557

หน้าปก

รายงาน


เรื่อง     สัตว์ดึกดำบรรพ์




เสนอ
อาจารย์   ศุภสันห์    แก้วสำราญ


จัดทำโดย
นางสาว    สาวิตรี    ช่วยรอด


เลขที่  39    ชั้นมัธยมศึกษาปีที่  6/2


ปีการศึกษา 1/2557
โรงเรียน   เมืองกระบี่

คำนำ

คำนำ


       รายงานเล่มนี้  เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการสืบค้นข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต  กลุ่มสาระการเรียนรู้ เทคโนโลยีสารสนเทศชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6  เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับทางวิชาการในเรื่องสัตว์ดึกดำบรรพ์ รายงานเล่มนี้เน้นการสร้างความรู้และคำอธิบายเกี่ยวกับประวัติความเป็นมา ยุคของสิ่งมีชีวิตในดึกดำบรรพ์ รายงานเล่มนี้จัดทำเพื่อให้สอดคล้องกับหลักสูตรการสอนภายในโรงเรียนตามความเหมาะสม
       หวังว่ารายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการหาความรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นไปตามหลักการ
และจุดมุ่งหมาย   ขอขอบคุณเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลในการทำรายงานเล่มนี้ให้สำเร็จลุล่วงด้วยดีไว้ ณ โอกาสนี้




นางสาว   สาวิตรี    ช่วยรอด

สัตว์ดึกดำบรรพ์

ความหมายของสัตว์ดึกดำบรรพ์

             สัตว์ดึกดำบรรพ์ คือ สัตว์ที่อาศัยอยู่บนโลกนี้มาก่อน บางชนิดอาจสูญพันธุ์ไปแล้ว บางชนิดอาจวิวัฒนาการมาเป็นสัตว์ในปัจจุบัน สัตว์ดึกดำบรรพ์มีหลายประเภทแต่ที่ทุกคนรู้จักกันก็คือ

ไดโนเสาร์



แมมมอธ



เสือเขี้ยวดาบ



รวมไปถึงมนุษย์ยุคหิน เป็นต้น



วิวัฒนาการของมนุษย์


       วิวัฒนาการ ในความหมายทั่วไป หมายถึง การเปลี่ยนแปลงจากสภาพหนึ่งไปสู่อีกสภาพหนึ่ง  ในลักษณะจองการค่อยเป็นค่อยไปตามลำดับขึ้นโดยอาศัยระยะเวลาอันยาวนาน  วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตจึงหมายถึงการเปลี่ยนแปลงทีละน้อยจากสิ่งมีชีวิตดั้งเดิมสืบต่อกันมาจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตในปัจจุบัน  ที่แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตดั้งเดิมอันเป็นผลจากพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม  ดอบซานสกี (Dobzhansky)  นักพันธุศาสตร์และวิวัฒนาการชาวรัสเซีย ได้กล่าวไว้ดังนี้  วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต  คือกระบวนการเปลี่ยนแปลง  ส่วนประกอบของพันธุกรรมของประชากรที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกัน  โดยการเปลี่ยนแปลงนี้อาจเกิดขึ้นเพียงบางส่วนหรือทั้งหมดอันเป็นผล มาจากปฏิกิริยาที่สิ่งมีชีวิตมีการปรับตัวให้เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อม  กระบวนการนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะไม่มีการย้อนกลับเป็นอย่างเดิมอีก


วิวัฒนาการของมนุษย์(evolution)

   เมื่อประมาณ 20 ล้านปีที่ผ่านมา  เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม  โดยมีทุ้งหญ้าขึ้นมาทดแทนป่าที่อุดมสมบูรณ์   ทำให้สิ่งมีชีวิตหลายชนิด  มีวิวัฒนาการมาดำรงชีวิตบนพื้นดินมากขึ้น  จากหลักการซากดึกดำบรรพ์และการเปรียบเทียบลำดับเบสบน DNA ระหว่างมนุษย์และชิมแปนซี  พบว่ามนุษย์แยกสายวิวัฒนาการจากลิงไม่มีหางเมื่อประมาณ 7-5 ล้านปีที่ผ่านมา
     ตามการจำแนกแบบอนุกรมวิธาน นักชีววิทยาได้จัดให้มนุษย์อยู่ในหมวดหมู่ต่อไปนี้
                                 Kingdom     Animalia
                                 Phylum Chordata
                                 Class      Mammalia
                                 Order     Primate
                                 Family   Hominidae
                                 Genus    Homo
                                 Spicies   Homo  sapiens
   จากหลักฐานซากดึกดำบรรพ์  นักบรรพชีวินได้คาดคะเนลำดับขั้นตอนการสืบสายวิวัฒนาการของมนุษย์ได้  ดังนี้
 

       ออร์เดอร์ ไพรเมต (Primate) เป็นออร์เดอร์หนึ่งในจำนวนทั้งหมด 17 ออร์เดอร์ในคลาสแมมมาเลียการจำแนกสัตว์อยู่ในออร์เดอร์นี้ขึ้นอยู่กับลักษณะหลายๆลักษณะมารวมกันซึ่งเป็นลักษณะที่เป็นผลมาจากวิวัฒนาการของสัตว์พวกนี้ในการอาศัยอยู่บนต้นไม้ ทำให้มีลักษณะมือขาและการใช้ประสาทรับความรู้สึกต่างๆให้เข้ากับการดำรงชีวิตในสิ่งเเวดล้อมดังกล่าวแต่มีวิวัฒนาการของบางลักษณะที่เป็นผลจากวิวัฒนาการในช่วงหลังๆที่เป็นไปเพื่อการดำรงชีวิตอยู่บนพื้นดิน  ลักษณะของออร์เดอร์ไพรเมต คือมีนิ้ว 5นิ้ว ปลายนิ้วมีเล็บแบน นิ้วยาว นิ้วหัวแม่มือพับขวางกับนิ้วอื่นได้ดี สมองใหญ่ จมูกสั้น ตาชิดกัน (ทำให้สามารถมองภาพจากสองตามาซ้อนกันเกิดเป็นภาพสามมิติซึ่งดีต่อการดำรงชีวิตอยู่บนต้นไม้)ขากรรไกรห้อยต่ำในออร์เดอร์ไพรเมตมีสมาชิกทั้งหมด 180 สปีชีส์ที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลก ได้เเก่ มนุษย์ ลิงลม ลิงทาเซียร์ ลิงแสม ลิงมาโมเซต กอริลลา ชิมแพนซี และอุรังอุตัง
    ลักษณะสำคัญของแฟมิลีโฮมินิดี(Hominidae) คือมีเขี้ยวเล็กและอยู่ในระดับเดียวกับฟันอื่นๆ เดิน ขา เนื่องจากเปลี่ยนวิถีชีวิตจากบนต้นไม้มาสู่พื้นดิน แต่ก่อนเคยคิดว่าประกอบด้วย จีนัสคือ รามาพิเทคัส
    มนุษย์วานร มีรูปร่างค่อนข้างเล็ก สูงประมาณ1 - 1.5 เมตร และหนักประมาณ 68 กิโลกรัม มีโครงกระดูกที่แข็งแรง และรูปแบบของฟันคล้ายมนุษย์ในปัจจุบัน บริเวณลำคัว อาจไม่มีขน ขณะวิ่งลำตัวจะตั้งตรง อยู่กันเป็นกลุ่ม20-30 คน สามารถใช้หินหรือ เครื่องมือง่ายๆ เช่น กระดูกสัตว์ สำหรับล่าสัตว์ชนิดต่างๆ เป็นอาหารได้ นักวิทยาศาสตร์ก็ได้ขุดพบซากดึกดำบรรพ์ของมนุษย์ พวกนี้ที่บริเวณตอนใต้และตะวันออกของทวีปแอฟริกา จึงให้ชื่อว่า Australpithecus africanus ต่อมาจึงพบมนุษย์วานรพวกนี้อีก มีรูปร่างและขนาดใหญ่กว่า A.africanus จึงเรียกว่า A.robustus มนุษย์วานรชนิดนี้มีขากรรไกรขนาดใหญ่เทอะทะแสดงให้เห็นว่ากินพืชเป็นอาหาร จนกระทั่ง ค.ศ.1947 Donald Joanson ก็ได้ค้นพบมนุษย์วานรพวกนี้อีกชนิดหนึ่งบริเวณทางทิศเหนือของประเทศเอธิโอเปีย มีชื่อเรียกว่า A.afarensis ซึ่งถือว่ามี ความใกล้ชิดกับบรรพบุรุษของมนุษย์ในปัจจุบันมาก Genus Homo เป็นไพรเมตที่สามารถประดิษฐ์เครื่องมือเพื่อนำมาใช้ในการดำรงชีวิตได้แล้วถือว่าเป็นกลุ่มที่มีวิวัฒนาการสูงที่สุด ได้แก่ มนุษย์ในปัจจุบัน ซึ่งมีสายวิวัฒนาการมาจากวานร แล้วเปลี่ยนแปลงมาเป็นลำดับ
              
   ** จะเห็นได้ว่าวิวัฒนาการของมนุษย์นั้นไม่หยุดนิ่ง มนุษย์รู้จักใช้เหตุผลเพื่อปรับปรุงการดำรงชีพให้เหมาะสม สามารถสร้างเครื่องมือนานาชนิดในการดำรงชีพมนุษย์รู้จักคิดและใช้ปัญหาในการเรียนรู้ด้วยประสบการณ์โดยอาศัยปัญหาในอดีตเป็นแนวทางเพื่ออนาคต   รู้จักริเริ่มการมีภาษาพูด   ขนบธรรมเนียมประเพณี ศาสนาและจริยธรรมเมื่อรวมกลุ่มเป็นสังคมก็มีวัฒนธรรมแตกต่างกันไป ตามแต่ละท้องถิ่นสืบทอด หลายชั่วอายุตลอดมา มีความสามารถในการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน
   สำหรับมนุษย์ในปัจจุบันนั้น นักวิทยาพบว่า มีลักษณะพิเศษที่แตกต่างจากมนุษย์ในอดีตอยู่หลายประการ คือ 
      1.ยืนตัวตรง เคลื่อนที่ด้วยขา 2 ขา ช่วงขายาวกว่าช่วงแขน
      2.หัวแม่มือสั้นและงอ พับเข้ามาที่อุ้งมือได้ สามารถงอนิ้วทั้ง 4 ได้ จึงใช้จับ ดึง ขว้าง ทุบ ฉีก แกะ และ
ทำกิจกรรมต่างๆได้ รวมทั้งการออกแบประดิษฐ์เครื่องมือ เครื่องใช้ได้
      3.กระดูกคอต่อจากใต้ฐานหัวกะโหลก กระดูกสันหลังโค้งเล็กน้อย เป็นรูปตัวเอสและสมองมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับร่างกาย หน้าสั้นแบน หน้าผากค่อนข้างตั้งตรงขากรรไกรสั้น
      4.กระดูกสะโพกกว้าง ใหญ่และแบนให้กล้ามเนื้อเกาะเพื่อให้ลำตัวตั้งตรงเท้าแบนร่างกายไม่ค่อยมีขนแนวฟันโค้งเกือบเป็นรูปครึ่งวงกลม    การศึกษาค้นคว้าเปรียบเทียบซากดึกดำบรรพ์ของมนุษย์ในอดีต    นอกจากทำให้นักมนุษย์วิทยาทราบความเป็นมา ของบรรพบุรุษมนุษย์ในอดีตแล้ว  ยังทำให้สามารถอธิบายถึงความเป็นอยู่ และการดำลงชีวิตของมนุษย์ในแต่ละยุดได้อีกด้วย  คือ
      1.  การอยู่เยี่ยงเดรัจฉาน ( savagery ) เป็นยุดที่มนุษย์เพศชายยังทำหน้าที่ล่าสัตว์และแสวงหา พืช  ผัก ผลไม้เป็นอาหารตามธรรมชาติ  แบ่งออกเป็น 3 ระยะ
           1.1  ระยะก่อนรู้จักใช้ไฟและภาษา  ตรงกับยุดหินเช่นเก่า  ( Eolithic )  พบในมนุษย์พวก Homo  habilis
           1.2  ระยะรู้จักใช้ไฟและภาษา   ตรงกับเก่าเช่นกัน  มนุษย์พวกนี้รู้จักใช้ถํ้าเป็นที่อยู่  อาศัย  ได้แก่  พวกมนุษย์  Homo   erectus  ซึ่งก็คือ มนุษย์ชวาและมนุษย์ปักกิ่ง นั้นเอง
           1.3  ระยะรู้จักประดิษฐ์ธนูและลูกศร  ตรงกับยุดหินกลาง มนุษย์พวกนี้รู้จักการใช้หนังสัตว์เป็นเครื่องนุ่งห่มได้แก่ มนุษย์Homo  sapiens
      2.การอยู่อย่างป่าเถื่อน(Babarism)เป็นบยุคที่มนุษย์รู้จักการใช้โลหะทำเครื่องมือ ทำการเกษตรกรรม  ทอผ้า  สังคมในยุคนี้มีระบบทาส  เพศชายมีภรรยาได้หลายคน และทำหน้าที่ปกครองส่วนเพศหญิงทำหน้าที่เป็นแม่บ้านแบ่งเป็น 3 ระยะคือ
          2.1 ระยะแรกประมาณ 12000 ปีมาแล้ว ยุคนี้มนุษย์รู้จักการปลูกบ้านสร้างเรือนเพื่ออยู่อาศัย รู้จักใช้ขวานมีด้ามและใช้เครื่องปั้นดินเผา
         2.2 ระยะกลางประมาณ 10000 ปีมาแล้วมนุษย์ยุคนี้รู้จักการเลี้ยงสัตว์การเกษตรกรรมรู้จักใช้สัตว์ช่วยในการไถนาหรือบรรทุกสิ่งของ
        2.3 ระยะหลังประมาณ 7000ปีมาแล้ว มนุษย์รู้จักใช้โลหะทำอาวุธหรือเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ
     3.การอยู่อย่างมีอารยธรรม(Civilization)เป็นยุคที่มนุษย์รู้จักการประดิษฐ์เครื่องทุ่นแรง มีการใช้ตัวอักษรในการสื่อความหมาย สังคมเปลี่ยนจากเกษตรกรรมเป็นอุตสาหกรรม

ยุคของสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์

ยุคของสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์


        แม้ว่านักธรณีวิทยาจะแบ่งเวลาในอดีตของโลกออกเป็น 3 บรมยุค แต่ในบรมยุคอาร์คีโอโซอิกและโพรเทอโรโซอิกมีแต่สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำขนาดเล็ก และไม่มีหลักฐานฟอสซิลปรากฏมากนัก เนื่องจากกระบวนการธรณีแปรสัณฐาน (Plate Tectonics) ทำให้เกิดวัฏจักรการสร้างและทำลายแผ่นเปลือกโลก หินบนโลกส่วนใหญ่จึงมีอายุไม่เกิน 500 ล้านปี นักธรณีวิทยาจึงเรียกช่วงเวลาของสองบรมยุคนี้ว่า พรีแคมเบียน (Precambian period) ซึ่งหมายถึง ช่วงเวลาก่อนที่จะถึงยุคแคมเบียน (Cambian)  และแบ่งช่วงเวลาของบรมยุคฟาเนอโรโซอิกออกเป็น 3 มหายุค ซึ่งแบ่งย่อยเป็น 11 ยุค  โดยพิจารณาจากประเภทของฟอสซิลซึ่งแตกต่างกันอย่างชัดเจน  ดังข้อมูลในตารางที่ 1


รมยุค
(Aeon)
มหายุค
(Era)
ยุค
(Period)
เวลา
(ล้านปีก่อน)
เหตุการณ์
อาร์คีโอโซอิก
-
-
พรีแคมเบรียน
4,600
กำเนิดโลก
โพรเทอโรโซอิก
2,500
พืชและสัตว์ชั้นต่ำ กำเนิดออกซิเจน
ฟาเนอโรโซอิก
-
พาลีโอ
โซอิก
แคมเบรียน
545
สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอยู่ในทะเล
ออร์โดวิเชียน
490
หอยและปู ปลาไม่มีขากรรไกร
ไซลูเรียน
443
พืชบกใช้สปอร์ ปลามีขากรรไกร
ดีโวเนียน
417
แมลง สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ พืชมีท่อ
คาร์บอนิเฟอรัส
354
ป่าผืนใหญ่ เกิดสัตว์เลื้อยคลาน
เพอร์เมียน
295
เฟิร์นและสน การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ที่สุด
เมโสโซอิก
ไทรแอสสิก
248
สัตว์เลื้อยคลานเลี้ยงลูกด้วยนม
จูแรสสิก
205
ไดโนเสาร์เฟื่องฟู นกพวกแรก
เครเทเชียส
144
พืชดอก ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ในปลายยุค
เซโนโซอิก
เทอเชียรี
พาลีโอจีน
65
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมแพร่พันธุ์
นีโอจีน
24
ลิงยืนสองขา โฮโมอีเรกตัส
ควอเทอนารี
ไพลส์โตซีน
1.8
เสือเขี้ยวโค้ง ช้างแมมมอท และหมีถ้ำ
โฮโลซีน
0.01
มนุษย์โฮโมเซเปียนส์

พรีแคมเบียน (Precambrian)


        เป็นช่วงเวลานับตั้งแต่โลกถือกำเนิดขึ้นมาจนถึง 545 ล้านปีก่อน ในบรมยุคอาร์คีโอโซอิกและโพรเทอโรโซอิกซึ่งปรากฏฟอสซิลให้เห็นน้อยมาก หินตะกอนที่เก่าแก่ที่สุดพบที่กรีนแลนด์มีอายุ 3,800 พันล้านปี ฟอสซิลที่ดึกดำบรรพ์ที่สุดคือ แบคทีเรียโบราณอายุ 3.5 พันล้านปี ดังภาพที่ 1




แคมเบรียน (Cambrian) 

        เป็นยุคแรกของมหายุคพาเลโอโซอิก (Paleozoic) ในช่วง 545 – 490 ล้านปีก่อน เกิดทวีปใหญ่รวมตัวกันทางขั้วโลกใต้ เป็นยุคของแบคทีเรียและสาหร่ายสีเขียว บนพื้นดินยังว่างเปล่า สัตว์มีกระดองอาศัยอยู่ในทะเล ได้แก่ ไทร์โลไบต์ หอยสองฝา ฟองน้ำ และหอยทาก พืชส่วนใหญ่เป็นสาหร่ายทะเล เป็นต้น 


ออร์โดวิเชียน (Ordovician) 

        อยู่ในช่วง 490 – 443 ล้านปีก่อน ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สโตรมาโทไลต์ลดน้อยลง เกิดประการัง ไบรโอซัว และปลาหมึก สัตว์ทะเลแพร่พันธุ์ขึ้นสู่บริเวณน้ำตื้น เกิดสัตว์มีกระดูกสันหลังขึ้นเป็นครั้งแรกคือ ปลาไม่มีขากรรไกร เกิดสปอร์ของพืชบกขึ้นครั้งแรก



ไซลูเรียน (Silurian) 

        อยู่ในช่วง 443 – 417 ล้านปีก่อน เกิดสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลลึกซึ่งใช้พลังงานเคมีจากภูเขาไฟใต้ทะเล (Hydrothermal) เป็นธาตุอาหาร เกิดปลามีขากรรไกรและสัตว์บกขึ้นเป็นครั้งแรก บนบกมีพืชที่ขยายพันธุ์ด้วยสปอร์ 



ดีโวเนียน (Devonian) 

        อยู่ในช่วง 417 – 354 ล้านปีก่อน อเมริกาเหนือ กรีนแลนด์ สก็อตแลนด์ รวมตัวกับยุโรป เป็นยุคของปลาดึกดำบรรพ์ ปลามีเหงือกแพร่พันธุ์เป็นจำนวนมาก เกิดปลามีกระดอง ปลาฉลาม หอยฝาเดียว (Ammonite) และแมลงขึ้นเป็นครั้งแรก บนบกเริ่มมีพืชที่ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและมีป่าเกิดขึ้น

คาร์บอนิเฟอรัส (Carboniferous) 

        อยู่ในช่วง 354 – 295 ล้านปีก่อน เป็นยุคของป่าเฟินขนาดยักษ์ปกคลุมห้วย หนอง คลองบึง ซึ่งกลายเป็นแหล่งน้ำมันดิบที่สำคัญในปัจจุบัน มีการแพร่พันธุ์ของแมลง และสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ เริ่มมีวิวัฒนาการของสัตว์เลื้อยคลาน กำเนิดไม้ตระกูลสน 


เพอร์เมียน (Permian) 

        เป็นยุคสุดท้ายของมหายุคพาเลโอโซอิก ในช่วง 295 – 248 ล้านปีก่อน เปลือกโลกทวีปรวมตัวกันเป็นทวีปขนาดใหญ่ชื่อ "พันเจีย" (Pangaea)  ในทะเลมีแนวประการังและไบโอซัวร์ บนบกเกิดการแพร่พันธุ์ของสัตว์เลื้อยคลานที่มีลักษณะคล้ายสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในปลายยุคเพอร์เมียนได้เกิดการสูญพันธุ์ครั้งยิ่งใหญ่ (Mass extinction) สิ่งมีชีวิตทั้งบนบกและในทะเลหายไปร้อยละ 96 ของสปีชีส์ นับเป็นการปิดมหายุคพาเลโอโซอิก

ไทรแอสสิก (Triassic) 

        เป็นยุคแรกของมหายุคเมโสโซอิก ในช่วง 248 – 205 ล้านปีก่อน เป็นการเริ่มต้นของสัตว์พวกใหม่ๆ  สัตว์เลื้อยคลานที่มีลักษณะคล้ายสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ถูกแทนที่ด้วยสัตว์ที่เป็นต้นตระกูลไดโนเสาร์   ผืนแผ่นดินไม่อุดมสมบูรณ์ต่อการเจริญเติบโตของพืช  พืชพรรณส่วนใหญ่จึงเต็มไปด้วยสน ปรง และเฟิร์น 



จูแรสสิก (Jurassic) 

        เป็นยุคกลางของมหายุคเมโสโซอิก ในช่วง 205 – 144 ล้านปีก่อน เป็นยุคที่ไดโนเสาร์ครองโลก ไดโนเสาร์บินได้เริ่มพัฒนาเป็นสัตว์ปีกจำพวกนก ไม้ในป่ายังเป็นพืชไร้ดอก  หอยแอมโมไนต์พัฒนาแพร่หลายและวิวัฒนาการไปเป็นสัตว์จำพวกปลาหมึก 




เครเทเชียส (Cretaceous) 

        เป็นยุคสุดท้ายของมหายุคเมโสโซอิก ในช่วง 144 – 65 ล้านปีก่อน สิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นใหม่ ได้แก่ งู นก และพืชมีดอก ไดโนเสาร์วิวัฒนาการให้มีนอ ครีบหลัง และผิวหนังหนาสำหรับป้องกันตัว ในปลายคาบครีเทเชียสได้เกิดการสูญพันธุ์ครั้งยิ่งใหญ่ ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปหมดสิ้น สิ่งมีชีวิตอื่นสูญพันธุ์ไปประมาณร้อยละ 70 ของสปีชีส์ สันนิษฐานว่า ดาวหางพุ่งชนโลกที่คาบสมุทรยูคาทานในอ่าวเม็กซิโก เหตุการณ์นี้เรียกว่า "K-T Boundary" ซึ่งหมายถึงรอยต่อระหว่างยุคเครเทเชียสและยุคเทอเชียรี


เทอเชียรี (Tertiary)

        เป็นยุคแรกของมหายุคเซโนโซอิก อยู่ในช่วง 65 - 1.8 ล้านปีก่อน แผ่นธรณีอเมริกาเคลื่อนเข้าหากัน แผ่นธรณีอินเดียเคลื่อนที่เข้าหาแผ่นธรณีเอเซียทำให้เกิดเทือกเขาหิมาลัยและที่ราบสูงทิเบต  ยุคเทอเชียรีแบ่งออกเป็น 2 สมัยคือ พาลีโอจีนและนีโอจีน 
  • พาลีโอจีน (Paleogene) เป็นสมัยแรกของยุคเซโนโซอิก อยู่ในช่วง 65 – 24 ล้านปีก่อน  สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมแพร่พันธุ์แทนที่ไดโนเสาร์ มีทั้งพวกกินพืชและกินเนื้อ บนบกเต็มไปด้วยป่าและทุ่งหญ้า ในทะเลมีปลาวาฬ 
  • นีโอจีน (Neogene) อยู่ในช่วง 24 – 1.8 ล้านปีก่อน เป็นช่วงเวลาของสัตว์รุ่นใหม่ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของสัตว์ในปัจจุบัน รวมทั้งลิงยืนสองขาซึ่งเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ (Homo erectus) 


ควอเทอนารี (Quaternary) 

        เป็นยุคสุดท้ายของยุคโซโนโซอิก อยู่ในช่วง 1.8 ล้านปีก่อน จนถึงปัจจุบัน แบ่งออกเป็น 2 สมัยคือ ไพลส์โตซีนและโฮโลซีน
  • ไพลส์โตซีน (Pleistocene) อยู่ในช่วง 1.8 ล้านปี – 1 หมื่นปี เกิดยุคน้ำแข็ง ร้อยละ 30 ของซีกโลกเหนือปกคลุมด้วยน้ำแข็ง ทำให้ไซบีเรียและอลาสกาเชื่อมต่อกัน มีเสือเขี้ยวโค้ง ช้างแมมมอท และหมีถ้ำ บรรพบุรุษของมนุษย์ได้อุบัติขึ้นในสายพันธุ์โฮโมเซเปียนส์ (Homo sapiens) เมื่อประมาณสองแสนปีที่แล้ว
  • โฮโลซีน (Holocene) นับตั้งแต่สิ้นสุดยุคน้ำแข็งเมื่อ 1 หมื่นปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน เป็นสมัยที่มนุษย์รู้จัการทำเกษตรกรรม เลี้ยงสัตว์ และอุตสาหกรรม ป่าในยุโรปถูกทำลายหมดสิ้น ป่าฝนเขตร้อนกำลังจะหมดไป


สัตว์ดึกดำบรรพ์ในไทย

สัตว์ดึกดำบรรพ์ในไทย

     แผ่นดินของประเทศไทยหรือสุวรรณภูมิในอดีต  มีบริเวณของแผ่นดินเก่า  (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)  เกิดขึ้นในโลกยุคดึกดำบรรพ์  จึงทำให้เป็นบริเวณที่มีป่าไม้อุดมสมบูรณ์และเป็นแหล่งธรณีวิทยาโดยเฉพาะแหล่งที่พบต้นไม้กลายเป็นหิน  แหล่งแร่ธาตุที่สำคัญมากมาย  และเป็นแหล่งที่อยู่ของสัตว์ดึกดำบรรพ์ประเภท  ไดโนเสาร์  จระเข้  และช้างดึกดำบรรพ์  การสำรวจทางธรณีวิทยาได้พบว่ามีสัตว์ดึกดำบรรพ์อยู่จำนวนมาก  ซึ่งถูกทับถมมานานจน  เป็นซากหินแข็งหรือซากดึกดำบรรพ์   (Fossil)  อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ

 ไดโนเสาร์ที่พบในไทย

     แผ่นดินของประเทศไทยนั้น  พบว่ามีบริเวณที่เป็นแหล่งของสัตว์ดึกดำบรรพ์  ประเภทไดโนเสาร์  อาศัยอยู่มาก่อนในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ   ไดโนเสาร์นั้นเป็นชื่อเรียกของสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่บนโลกในยุคดึกดำบรรพ์  เป็นสัตว์ที่มีรูปร่างและขนาดแตกต่างกันมากมาย  ตั้งแต่ขนาดใหญ่มหึมามีน้ำหนักมากมายกว่า  ๑๐๐  ตัน  สูงกว่า  ๑๐๐ ฟุต จนถึงขนาดเล็ก  ที่มีขนาดเล็กกว่าไก่  บ้างมีสี่ขา  บ้างมีสองขา  หรือวิ่งขาหลังสองขา  บางพวกกินพวกพืชเป็นอาหาร  บางพวกกินเนื้อสัตว์  มีทั้งเชื่องและดุร้ายตามแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน   เมื่อประมาณ  ๒๒๕  ล้านปีนั้น ไดโนเสาร์พวกแรกได้เกิดขึ้นในโลก  ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โลกมีแผ่นดินติดต่อเป็นผืนแผ่นเดียวกัน  ไดโนเสาร์นั้นอยู่ในแผ่นดินผืนนี้และวิวัฒนาการต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลายาวถึง  ๑๖๐ ล้านปี  จนสามารถเดินทางกระจัดกระจายไปยังแผ่นดินภาคอื่น ๆ ของโลก  และสูญสิ้นพันธุ์ปลายในของยุคครีเทเซียส  เมื่อ  ๖๕  ล้านปีมาแล้ว  ส่วนต้นตระกูลของมนุษย์วานรนั้นพึ่งปรากฏในโลกเมื่อ ๕ ล้านปี  หลังจากไดโนเสาร์สิ้นไปจากโลกแล้ว  ๖๐  ล้านปี   ไดโนเสาร์นั้นเท่าที่สำรวจพบในโลกยุคปัจจุบันนั้นมีประมาณ  ๓๔๐  ชนิด  นักโบราณชีววิทยา  ได้แบ่งไดโนเสาร์ออกเป็น  ๒ กลุ่ม  โดยอาศัยความแตกต่างในกระดูกเชิงกรานคือ

·        พวกซอริสเซียน  (Saurischians)  ไดโนส์ประเภทมีกระดูกเชิงกรานแบบเดียวกับสัตว์เลื้อยคลาน
คือมีกระดูกพิวบิสและอิสเซียม  แยกออกจากกันเป็นมุมกว้าง

·        พวกออร์นิธิสเซียน  (Ornithiscians)  ไดโนเสาร์ประเภทมีกระดูกเชิงกรานเป็นแบบนก  คือมี
กระดูกทั้งสองคือ  พิวบิส  กับอัสเซียม  ชี้ไปทางด้านหลัง

          ในระยะแรกของการศึกษาเรื่องไดโนเสาร์นั้นได้มีการค้นพบและศึกษาซากดึกดำบรรพ์  (Fossil) 
มาก่อนเมื่อ พ.ศ.  ๒๓๖๓ – ๒๓๗๓  โดยสำรวจพบซากดึกดำบรรพ์ของอีกัวโนดอนและไฮลีโอซอรัส  ซึ่งเป็นซากดึกดำบรรพ์ที่มีทั้งพืชแมลง  และสัตว์น้ำ  ต่อมาเมื่อมีการพบซากดึกดำบรรพ์  เป็นสัตว์ขนาดใหญ่ขึ้นเมื่อ พ.ศ๒๓๘๔  (ค.ศ.๑๘๔๑)  ในการประชุมของสมาคมวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าของประเทศอังกฤษ  โดยศาสตรจารย์  โอเวน  นั้นได้มีการตั้งชื่อไดโนเสาร์ขึ้นครั้งแรกสำหรับสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่  ที่มีการพบซากดึกดำบรรพ์
          ดังนั้น  “ไดโนเสาร์”  (DINOSAUR)  สัตว์ในโลกดึกดำบรรพ์จึงเป็นที่รู้จักกัน  มาจนถึงทุกวันนี้ คำว่าไดโนเสาร์นี้หมายถึงสัตว์เลื้อยคลานที่มีลักษณะน่ากลัวมาก  (มาจากการมีลักษณะใหญ่โตมาก)  โดยนำคำมาจากภาษากรีก  คือ  คำว่าไดโน  (DEINOS)  ปลว่าน่ากลัวมาก  และคำว่าซอรอส  (SAURUS)  หมายถึงสัตว์เลื้อยคลาน
           การศึกษาซากดึกดำบรรพ์  (Fossil)  ในประเทศไทยนั้น  ได้มีการศึกษามาก่อนแล้ว  คือมีการสำรวจพบและรายงานเรื่องซากดึกดำบรรพ์หรือ  ฟอสซิล   (Fossil)  เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๙  โดยมีรายงานเรื่องฟอสซิลปลาจากภาคเหนือของสยาม  โดย  E.ANDERSSON ค.ศ.๑๙๒๖ ต่อมาก็มีรายงานพบช้างมาสสโตดอน ที่เหมืองลิกไนต์ แม่เมาะโดย KOENIGSWALD ค.ศ. ๑๙๕๙ และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมได้แก่ ฮิบโปโปเตมัส และควายบูบาลุส จากนครสวรรค์ โดย LEKHAKUL ET.AL. ค.ศ. ๑๙๖๙ และฟันช้างไดโนเทอเรียมที่อำเภอปง โดย SICKENBERG ค.ศ. ๑๙๗๑ เป็นต้น แต่ไม่มีการศึกษาซากดึกดำบรรพ์ (FOSSIL) อย่างจริงจัง สำหรับการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ของไดโนเสาร์ในประเทศไทย ในปี พ.ศ. ๒๕๑๙ การศึกษาวิจัยฟอสซิลของสัตว์มีกระดูกสันหลังในประเทศไทยกรมทรัพยากรธรณี ได้เกิดขึ้นเนื่องจาก นายสุธรรม แย้มนิยม จากโครงการสำรวจแร่ยูเรเนียมฯ ได้สำรวจพบกระดูกไนโดเสาร์ขนาดใหญ่ท่อนหนึ่ง (เป็นชิ้นแรก) ที่ภูประตูตีนม้า ในอุทยานแห่งชาติภูเวียง จังหวัดข่อนแก่น และได้รับความร่วมมือจากนักโบราณชีววิทยา ชาวฝรั่งเศสซึ่งสนใจและตรวจสอบวิจัย เมื่อศึกษาซากดึกดำบรรพ์ ที่พบชิ้นนี้แล้ว จึงทำให้รู้ว่าเป็นชิ้นส่วนของไดโนเสาร์ซอโรพอต พวกกินพืชเดิน ๔ เท้า คอยาวหางยาวมีความยาว ประมาณ    ๑๕ เมตร ข้อมูลการพบดังกล่าว เป็นรายงานจากการค้นพบไดโนเสาร์ เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ต่อมาเมื่อ
     พ.ศ. ๒๕๒๒ คณะสำรวจธรณีวิทยาภาคอีสาน โดน ดร.วราวุธ สธีธร นางจุรา อิงควัติ นายนเรศ สัตยา
รักษ์ และคณะ ได้สำรวจพบซากไดโนเสาร์และจระเข้ ในพื้นที่หลายแห่ง ทำให้ฝรั่งเศสส่งคณะสำรวจฯโดย ดร.ฟิลิป จองเวียร์ ดร.อีริค บุพโต ดร.เลียวนาร์ค กินสเบอร์ก และดร.มิเชล มาร์แตงได้เข้ามาร่วมสำรวจของไทยจัดตั้งเป็นคณะสำรวจโบราณชีววิทยาไทย-ฝรั่งเศส โดยเริ่มเก็บตัวอย่างซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังที่พบในประเทศไทยจาดพื้นที่หลายแห่งโดยเฉพาะภาคอีสานและภาคเหนือ
     พ.ศ.๒๕๒๓ คณะสำรวจฯได้พบซากดึกดำบรรพ์ของ ส่วนหัวของสัตว์สะเทินบกสะเทินน้ำของสัตว์ตระกูลสเจโกซีฟาเลียน อายุประมาณ ๒๒๐ ล้านปี ที่เขื่อนจุฬาลงกรณ์กร จ. ชัยภูมิ พบกรามจระเข้ขนาดใหญ่ อายุประมาณ ๑๖๐ ล้านปี ที่ จ. หนองบัวลำภู เป็นจระเข้ชนิดใหม่ตั้งชื่อว่า ซูโนซูคัส ไทยแลนด์ดิคัส (SUNOSUCHUS THAILANDDICUS)
      พ.ศ. ๒๔๒๔ คณะสำรวจฯ โดยการนำของนายเชิงชาย ไกรคงได้สำรวจบริเวณ ภูเพียงอีกครั้งได้พบซากดึกดำบรรพ์ของกระดูกท่อนขาของไดโนเสาร์ ขนาดใหญ่ ๒ ท่อนท่อนยอดของภูประตูตีนหมา และยังพบฟันของไดโนเสาร์และฟันของสัตว์อื่นๆ หลายชนิด เช่น จระเข้ ปลา และกระดองเต่า
       ทำให้ปีต่อมา พ.ศ. ๒๕๒๕ นั้นคณะสำรวจฯ ได้พบซากดึกดำบรรพ์ของกระดูกชิ้นหนึ่งของไดโนเสาร์ฝั้งอยู่ในชั้นหินครั้นเมื่อทำการขุดต่อจึงพบกระดูกของไดโนเสาร์จำนวนมากมายเรียงรายอยู่ในชั้นหิน นับเป็นการเริ่มต้นของการค้นหาซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์ขึ้นครั้งแรกโดยการนำของดร.วราวุธ สธีธรและคณะ

สัตว์ยุคดึกดำบรรพ์ที่ดูคล้ายสัตว์ปัจจุบันแต่แปลกกว่ากันเยอะ

ยุคดึกดำบรรพ์ หรือ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ (Prehistoric) เต็มไปด้วยสัตว์ใหญ่ยักษ์หน้าตาแปลกๆ ที่เราคิดไม่ถึงมากมาย ในบรรดาสัตว์เหล่านี้ก็มีบางสายพันธุ์ที่ดูคล้ายๆ กับสัตว์ที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน แต่มีอะไรที่แปลกประหลาดกว่ามาก และนึกไม่ออกเลยว่าถ้าสัตว์ปัจจุบันหน้าตาแบบนี้จริงๆ โลกเราจะเป็นยังไง

Platybelodons


     สายพันธุ์สัตว์โบราณที่ใกล้เคียงกับช้างไม่ได้มีแต่ช้างแมมมอธเท่านั้น เมื่อประมาณ 10 ล้านปีที่แล้ว ในสมัยที่สัตว์ต่างๆ ยังอยู่ในช่วงวิวัฒนาการไม่สุด มีช้างแบบแปลกๆ อีกชนิดที่หน้าตาดูเหมือนธรรมชาติยังสร้างไม่เสร็จดีอยู่ชื่อว่า  Platybelodons



    นักชีววิทยาสัตว์โบราณถกเถียงกันมานานแล้วว่า เหตุใดธรรมชาติจึงสร้างให้สัตว์ชนิดนี้มีหน้าตา(อัปลักษณ์)เช่นนี้ บางคนก็เชื่อว่าปากแบนๆ ที่เหมือนกับพลั่วนี้น่าจะใช้ในการช้อนพืชน้ำขึ้นมากิน ในขณะที่อีกหลายคนเชื่อว่าปากนี้เอาไว้คาบกิ่งไม้แล้วใช้ฟันล่างที่เหมือน กับเลื่อย เลื่อยกิ่งต้นไม้ออก ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ธรรมชาติคงเห็นแล้วว่าปากแบบนี้คงไม่เหมาะกับช้างเท่าไหร่ ช้างสายพันธุ์นี้จึงสูญพันธุ์ไปและเหลือเพียงแต่ช้างแบบที่เราเห็นใน ปัจจุบันเท่านั้น

Meganeura



     Meganeura เป็นแมลงที่คล้ายๆ กับแมลงปอแต่ตัวใหญ่กว่ากันมาก เมื่อกางปีกแล้วตัวจะกว้างถึง 2 ฟุตเลยทีเดียว มันอาศัยอยู่เมื่อประมาณ 300 ล้านปีก่อน และถือเป็นแมลงนักล่าบินได้ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก และแน่นอน ที่ว่าเป็นสัตว์นักล่าก็เพราะนอกจากกินแมลงอื่นแล้ว มันกินเนื้อเป็นอาหารด้วย
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสาเหตุที่มันสูญพันธุ์ไปก็เนื่องมาจากขนาดที่ใหญ่ เกินไปทำให้ต้องใช้ออกซิเจนในการหายใจมาก และเมื่อสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไปมันก็เลยอาศัยอยู่ไม่ได้และสูญพันธุ์ไป ซึ่งน่าจะเป็นโชคดีของเรา เพราะถ้ามันยังอยู่จนถึงทุกวันนี้เราอาจจะมีแมลงตัวใหญ่ยักษ์ที่คอยจ้องจะ กินหัวอยู่ตลอดเวลาก็เป็นได้

Odontochelys Semitestacea



    นี่เป็นหนึ่งในสัตว์ที่ดูเหมือนธรรมชาติจะขี้เกียจสั่งให้วิวัฒนาการมากที่สุด เมื่อประมาณ 220 ล้านปีก่อน เต่าOdontochelys semitestacea หน้าตาเหมือนกับเต่าปัจจุบันไม่มีผิด แต่ด้วยความที่มันไม่มีกระดองทำให้มันเป็นเหยื่ออันโอชะของเหล่านักล่าใต้ น้ำ เพื่อเป็นการป้องกันตัว มันจึงวิวัฒนาการบริเวณส่วนท้องให้กลายเป็นกระดองแข็งๆ เพราะสัตว์นักล่าที่อยู่ในน้ำลึกส่วนมากจะโจมตีจากด้านล่างขึ้นมา แต่ก็ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่ เพราะเมื่อเวลาผ่านไปสัตว์นักล่าเริ่มรู้ตัวแล้วว่าเต่ามีกระดองแข็งตรงท้อง จึงเปลี่ยนวิธีมาโจมตีเต่าจากทางด้านบนแทน ทำให้ยังไงมันก็ถูกจับกินอยู่ดี



    อย่างไรก็ตาม ฟอสซิลของ Odontochelys semitestacea ก็ช่วยทำให้นักชีววิทยาสัตว์โบราณรู้ได้ว่าเต่าพัฒนากระดองขึ้นมาได้อย่างไร จากตอนแรกที่เข้าใจกันว่ากระดองวิวัฒนาการมาจากผิวหนัง ตอนนี้จากหลักฐานฟอสซิลที่มีอยู่ก็ทำให้รู้ว่ากระดองน่าจะพัฒนามาจากกระดูก หลังและกระดูกซี่โครงที่รวมเข้าด้วยกันมากกว่า

Carcharocles Megalodon



   ฉลามใหญ่ที่สุดในปัจจุบันนี้ก็คือ ฉลามวาฬ ซึ่งชื่อฟังดูน่ากลัวแต่จริงๆ แล้วมันคือยักษ์ใหญ่ใจดีแห่งท้องทะเลที่กินแต่สัตว์เล็กๆ อย่างแพลงก์ตอนเป็นอาหารและไม่ทำอันตรายใครเท่าไหร่ แต่ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 1.5 – 3 ล้านปีที่แล้ว ฉลามใหญ่ที่สุดแห่งท้องทะเล Megalodon ไม่มีความน่ารัก ใจดีเหมือนฉลามวาฬเลยสักนิด



    ด้วยขนาดตัวประมาณ 70 ฟุต (20 เมตร)  ทำให้ Carcharocles Megalodon เป็นปลาที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ใหญ่ขนาดที่กลืนรถเก๋งทั้งคันได้สบายๆ และที่ทำให้มันน่ากลัวกว่าขนาดอันใหญ่โตก็คือความจริงที่ว่ามันกินเนื้อเป็น อาหาร และเป็นสัตว์นักล่าที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหารในท้องทะเล และต้องขอบคุณธรรมชาติอีกครั้งที่ฉลามสายพันธุ์นี้สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว เพราะแค่ทุกวันนี้ฉลามธรรมดาก็ทำเอามนุษย์อย่างเรากลัวหัวหดกันหมดแล้ว ถ้าตัวใหญ่ขนาดนี้อีกคงไม่มีใครกล้าลงทะเลแน่ๆ

Odobenocetops



   นี่คือตัวอย่างของสัตว์โบราณที่ดูเหมือนเกิดจากการนำเอาสัตว์สองชนิดมารวมเข้าด้วยกัน Odobenocetops มีชีวิตอยู่เมื่อ 3.5 ล้านปีก่อน ถึงจะหน้าตาเป็นแบบนี้แต่ความจริงแล้วมันเป็นสัตว์จำพวกวาฬที่ดันไปมีหน้า เหมือนกับสิงโตทะเล ออกมาเป็นสัตว์ที่ดูคล้ายๆ กับพะยูนได้อย่างไรไม่รู้ Odobenocetops น่าจะเป็นสัตว์ที่มีชีวิตความเป็นอยู่ค่อนข้างลำบาก เพราะว่ามันมีชีวิตอยู่ในช่วงเดียวกับฉลามMegalodon (จากในหัวข้อด้านบน) อาวุธป้องกันตัวที่มันพอจะมีก็คือเขี้ยวสองข้าง ที่อาจจะยาวได้ถึง 3 เมตร แต่กลับใช้ทำอะไรไม่ได้เพราะว่าเขี้ยวนี้เปราะบางมาก และอาหารของมันก็คือพวกหอยกับหนอนทะเลที่อาศัยอยู่ก้นมหาสมุทร แค่ดูหน้าเศร้าๆ ของมันก็รู้สึกสงสารแล้ว

Helicoprion



      Helicoprion ก็คือฉลามเมื่อ 250 ล้านปีก่อน ซึ่งขากรรไกรล่างมีลักษณะยาว ม้วนได้ และมีฟันแหลมคมเหมือนกับใบเลื่อย จริงๆ แล้วนักวิทยาศาสตร์เองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจว่าหน้าตาจริงๆ ของฉลามสายพันธุ์นี้เป็นยังไงกันแน่ เพราะเนื่องมาจากกระดูกของฉลามส่วนมากเป็นกระดูกอ่อน จึงยังไม่มีใครเจอหลักฐานที่ทำให้รู้หน้าตามันได้อย่างแน่ชัด ดังนั้นจากหลักฐานเท่าที่มีอยู่ก็เลยสร้างแบบจำลองฉลาม Helicoprion ได้ออกมาอย่างที่เห็น (ในตอนแรกนักวิทยาศาสตร์นึกว่าขากรรไกรของมันคือฟอสซิลหอยโบราณด้วยซ้ำ)


     จนถึงตอนนี้ นักชีววิทยาสัตว์โบราณก็ยังพยายามคิดว่าฉลามสายพันธุ์นี้กินอาหารได้อย่างไร ก็แน่ด้วยปากประหลาดๆ แบบนี้ เลยมีทฤษฎีว่า ฉลาม Helicoprion  อาจจะใช้ขากรรไกรที่ยื่นได้นี้เหมือนกับเป็นแส้หนามพุ่งออกไปพันตัวเหยื่อ แล้วลากมาเข้าปาก แต่ก็ยังไม่เข้าใจกันอยู่ดีว่าแล้วมันจะมีขากรรไกรแบบนี้เอาไว้ทำไมในเมื่อ เอามาใช้เคี้ยวอาหารไม่ได้ นี่จึงเป็นสาเหตุให้แบบจำลองฉลามพันธุ์นี้มีหลากหลายแบบตามจินตนาการของคน สร้าง



     ในตอนแรกมีการเดากันว่า ปกติแล้วฉลามจะม้วนขากรรไกรล่างนี้เก็บไว้ข้างล่าง(แบบรูปแรกสุด) แต่ข้อสันนิษฐานล่าสุดคือ ฉลามน่าจะม้วนขากรรไกรที่มีฟันแหลมๆ นี้เก็บไว้ในปากตัวเองมากกว่า ยิ่งอ่านก็ยิ่งงง ไม่รู้จะนึกภาพตามยังไงดี

Kaprosuchus saharicus


    จระเข้เป็นสัตว์นักล่าน่ากลัวอีกชนิดหนึ่งแต่เฉพาะเวลาที่อยู่ในน้ำเท่า นั้น ถ้าขึ้นบกมาเมื่อไหร่มันก็จะกลายเป็นแค่สัตว์ตัวใหญ่ เดินเอื่อยๆ ที่มีฟันแหลมแต่วิ่งไล่ใครไม่ค่อยทันเท่านั้น (ถ้าไม่เข้าใกล้เกินไปนะ) แต่ไม่ใช่กับจระเข้Kaprosuchus saharicus ที่อาศัยอยู่เมื่อ 100 ล้านปีก่อนแน่ๆ  Kaprosuchus saharicus น่าจะเป็นจุดสุดยอดของวิวัฒนาการจระเข้ มันเป็นสัตว์นักล่าที่ได้เปรียบเกือบทุกอย่าง ด้วยขายาวแบบไดโนเสาร์ ทำให้นอกจากมันจะว่ายน้ำได้แล้วมันยังวิ่งได้อีกด้วย ขาดแต่บินไม่ได้แค่อย่างเดียวเท่านั้น ทั้งๆ ที่มันเป็นสัตว์นักล่าไร้เทียมทานแต่เมื่อเข้าสู่ยุคน้ำแข็งมันก็สูญพันธุ์ ไป ซึ่งอาจจะเป็นโชคดีของเราก็ได้ที่ปัจจุบันเหลือแต่จระเข้ขาสั้นๆ แบบที่เรารู้จักเท่านั้น ไม่อย่างนั้นนึกไม่ออกเลยว่าเราจะวิ่งหนีจระเข้แบบนี้ยังไง

15 อสูรกายที่เหลือเชื่อในยุคดึกดำบรรพ์


อันดับ 1 Amphicoelias fragillimus


     แอมฟิซีเลียส ฟราจิลลิมัส (Amphicoelias fragillimus) เป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์กินพืชที่ใหญ่ที่สุดเคยมีในโลก ที่มีน้ำหนักราว 122 ตัน และยาวประมาณ 40-60 เมตร แต่ที่น่าเหลือเชื่อก็คือเราค้นพบฟอสซิลของมันยากเหล ือเกินคาดว่ามันจะเป็นสัตว์หายาก กระดูกที่ค้นพบส่วนมากจะเป็นกระดูกชิ้นเดียวที่มีขนา ดถึง 5 ฟุต สูงประมาณ 8.8 ฟุต หากได้ฟอสซิสครบถ้วนละก็มันจะกลายเป็นสัตว์ที่ยาวกว่าปลาวาฬสีน้ำเงินอย่างแน่นอน หากแต่จนบัดนี้เราก็ไม่ได้พบฟอสซิลที่ครบถ้วนของมันเ ลย มันเป็นภาพลวงตาหรือเรื่องหลอกลวงกันแน่?  เมื่อไม่นานมานี้ มีนักล่าฟอสซิลสมัครเล่น พบรอยเท้าไดโนเสาร์กว่า 20 รอย บนที่ราบสูง ในบริเวณพื้นราบสูงของเทือกเขายูรา (Jura plateau at Plagne) ใกล้กับทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองลียงในฝรั่งเศส โดยพบรอยเท้าไดโนเสาร์ซอโรพอดกว่า 20 รอย กินบริเวณกว้างราว 10 เฮคตาร์ (0.1 ตารางกิโลเมตร) รอยเท้าแต่ละรอย ฝังอยู่ในดินตะกอนยุคจูราสสิค วัดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางได้ประมาณ 1.2-1.5 เมตร คาดว่าเจ้าของรอยเท้าเหล่านี้ น่าจะมีน้ำหนักประมาณ 30-40 ตัน มีความยาวกว่า 25 เมตร และทิ้งรอยเท้าไว้ตั้งแต่เมื่อ 150 ล้านปีก่อน ซึ่งในสมัยนั้นพื้นที่บริเวณนี้มีสภาพเป็นทะเลที่ไม่ ลึกนัก และคาดว่ายังมีรอยเท้าไดโนเสาร์ในบริเวณนี้ ที่ยังสำรวจไม่พบอีกนับร้อยหรือพันรอยเท้าได้ ซึ่งทีมวิจัยจะสำรวจต่อในปีหน้า และหากค้นพบรอยเท้าไดโนเสาร์เพิ่มเติมดังที่คาด บริเวณนี้จะกลายเป็นบริเวณที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มีกา รค้นพบรอยสัตว์โลกดึกดำบรรพ์ และเชื่อว่าหากสำรวจต่ออาจได้พบฟอสซิลไดโนเสาร์ และอาจได้พบตัว แอมฟิซีเลียส ฟราจิลลิมัส

อันดับ 2 Deinocheirus


      ไดไนเสาร์สายพันธุ์เดอิโนเชอิรุส(deinocheirus) อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของมองโกเลีย ประมาณ 70 ล้านปีมาแล้ว แต่ปัญหาของเราคือเราไม่เคยเห็นตัวของมันเลย รู้แต่ว่าเป็นไดโนเสาร์กินเนื้อเหมือนชนิดอื่นๆ แต่ยังไม่ชัด เราก็ได้แต่เดากันว่ารูปร่างของมันเป็นอย่างนั้นอย่า งนี้ ทั้งนี้ก็เพราะว่าเราพบแต่ส่วนที่เป็นแขนและอุ้งเล็บ ของมันเท่านั้น ซึ่งเท่าที่ดูจากโครงสร้างพบว่ามันมีแขนที่ยาวกว่าตั วมันหลายเท่า และอุ้มมือของมันใหญ่มากผิดปกติ มันก็คืออาวุธที่ทรงพลังสามารถฉีดเนื้อเหยื่ออย่างง่ ายดาย และมันสามารถใช้ปีนต้นไม้ได้อย่างสบาย

อันดับ 3 Helicoprion



     “เฮลิโคไพรออน” (Helicoprion-Spiral Saw) หรือฉลามฟันเลื่อยเป็นสกุลปลากลุ่มเดียวกับฉลามหรือป ลากระดูกอ่อน อยู่ในลำดับปลาที่มีจุดเด่นตรงที่มีฟันแหลมคล้ายเลื่ อย (Eugeneodontida) เริ่มปรากฏขึ้นในช่วง 280 ล้านปีก่อน และสูญหายในช่วงต้นยุคไทรแอสสิคประมาณ 225 ล้านปีก่อน สิ่งที่หลงเหลืออยู่เป็นเพียงส่วนฟันแข็งแรงขดเป็นวง คล้ายก้นหอย สร้างความมึนงงแก่เหล่านักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญไม ่น้อย เพราะจินตนาการกันไม่ออกว่าเป็นฟันของสัตว์ชนิดใด จนเมื่อมีการค้นพบกะโหลกศีรษะฉลามสายพันธุ์ใกล้ชิดกั นชื่อว่า Omithoprion จึงถึงบางอ้อ!! ว่ามันเป็นส่วนของขากรรไกรล่างของฉลามสายพันธุ์หนึ่ง โดยมีปากม้วนเป็นวงเอาฟันอายุมากที่มีขนาดเล็กกว่าไว ้ด้านใน  ฟอสซิลของเฮลิโคไพรออนพบในหลายพื้นที่ของสหรัฐ เช่น ทางภาคตะวันออกของรัฐไอดาโฮ, ยูทาห์ และทางภาคตะวันตกของรัฐไวโอมิง จากฟอสซิลต่างๆที่พบทำให้สามารถแยกแยะปลาสกุลนี้ได้ห ลายชนิดคือ H. ferrieri, H. sierrensis, H. nevadensis, H. davish, H. bessonovi (holotype), H. ergasaminon และ H. mexicanus ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับปลาในลำดับเดียวกันแล้วเชื่อ ว่าโดยรวมๆฉลามสกุลนี้น่าจะมีขนาดตัวยาวประมาณ 10-15 ฟุต และไม่น่าจะเป็นปลาที่ดุร้ายนัก แม้จะมีหน้าเป็นอาวุธก็ตาม เพราะฟันที่ม้วนยาวน่ากลัวของมันทำให้ไม่สะดวกในการก ินเหยื่อ จะกินได้ก็สัตว์จำพวกมีเปลือกแข็ง ลำตัวนิ่มๆ อย่างพวกกลุ่มหอยโบราณ ญาติๆกับหอยงวงช้างในปัจจุบัน อาจล่าปลาได้บ้างเป็นบางโอกาส แต่เชื่อว่ามันคงใช้วิธีพุ่งเข้าไปหาปลาที่อยู่รวมกั นเป็นฝูงใหญ่เสียมากกว่า  นอกจากนี้ “ฟัน” ที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือนของเจ้าเฮลิโคไพรออ นน่าจะเป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหวด้วย ทำให้ว่ายน้ำได้ไม่คล่องแคล่วว่องไวเหมือนฉลามอื่นๆ แต่ปลารุ่นหลังมีวิวัฒนาการไม่เหลือฟันขดม้วนให้เห็น อีก เหลือแต่เพียงฟันเลื่อยคมพร้อมสำหรับการเป็นนักล่าได ้เหนือกว่า

อันดับ 4 Stethacanthus


     สเตธาแคนทัส (Stethacanthus) ฉลามกระดานเหล็ก อยู่ในยุคเดียวกับดังเคิลออสเตียส เป็นฉลามที่ยังสลัดเกราะเหล็กออกไม่หมด ยังคงมีเกราะหนาอยู่บริเวณหัวและครีบกระโดงของมัน แม้มันจะตัวไม่ใหญ่เท่าดังเคิลโอสเตอัส แต่มันว่องไวกว่า เพราะไม่ต้องหนักเกราะเหล็กอันมหึมาเหมือนพวกปลาโบรา ณ อีกทั้งยังพัฒนาประสาทสัมผัสที่ไวต่อกระแสไฟฟ้าและกล ิ่น แม้เพียงเลือดหยดเดียวในน้ำทะเล พวกมันก็จะได้กลิ่นอย่างง่ายดาย และสะกดรอยตามเหยื่อที่บาดเจ็บไปอย่างหิวกระหาย ก่อนจะกัดซ้ำที่แผลเดิมของเหยื่อ แม้กระทั่งดังเคิลโอสเตอัส ถ้าดันกัดกันเองแล้วเกิดเป็นแผลเลือดไหล และกับส่วนที่ยื่นมาบนหลังเหมือนครีบพับได้ มีไว้เพื่อดึงดูดเพศตรงข้าม

อันดับ 5 Dunkleosteus


     ทะเลในยุคดึกดำบรรพ์นี้ช่างน่ากลัวจริงๆ เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายต่างๆ นาๆ ดังเคิลออสเตียส (dunkleosteus) เป็นปลาขนาดใหญ่ที่มีขากรรไกร ขนาดตัวยาวเกือบ 10 เมตร เป็นผู้ล่าอันดับต้นๆในท้องทะเลช่วงยุคดีโวเนียน(Dev onian period) หรือประมาณ 409-363 ล้านปีก่อน ในยุคนี้ ปลาได้วิวัฒนาการพัฒนาร่างกายขึ้นจนใหญ่มหึมาและเกรา ะแข็งหุ้มอยู่นอกร่างกาย ทำหน้าที่เหมือนเกราะเหล็กของนักรบโรมัน สามารถป้องกันอันตรายให้แก่ตนเองได้ ซึ่งนอกเหนือจาก ดังเคิลออสเตียส ยังมีปลาแบบนี้มากมายหลายชนิดเลยทีเดียว  ดังเคิลออสเตียส เป็นปลาหุ้มเกราะขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่มีมา ขนาดลำตัวยาวประมาณ 33 ฟุตหรือ 10 เมตร (มีความยาวเทียบได้กับรถยนต์ 3 คัน) ฟันมีแรงกัดเทียบเท่ากับ T-rex คือ 562 กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร เรียกว่าเคี้ยวซีเมนต์ได้สบาย ๆ ความลับของความคมนี้คือขากรรไกรอันประกอบขึ้นจากแผ่น กระดูกคมกริบหลายแผ่น แทนที่จะเป็นขากรรไกรแล้วมีฟันเรียงเป็นซี่ๆแบบเดียวกับปลา  เจ้าดังเคิลออสเตียส จึงจัดเป็นนักล่าแห่งท้องทะเลที่อยู่ในตำแหน่งสูงสุด ของห่วงโซ่อาหาร ด้วยขากรรไกรและฟันที่แข็งแรงของมันจึงสามารถเคี้ยวห อยเปลือกหนา ๆ ล่าฉลามซึ่งอยู่ในยุคเดียวกับมัน แต่มันกลับสูญพันธุ์ไปในระยะเวลาอันสั้น ส่วนหัวปลานี้ถูกค้นพบที่รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา หัวของมันก็หนักถึง 1 ตัน    แม้เจ้าดังเคิลออสเตียสจะมีเกราะแข็งแกร่ง แต่มันก็เป็นจุดอ่อนของมันเช่นกัน คือสำหรับมันจึงทำใหัมันไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้คล่องแคล่วเท่าที่ควร

อันดับ 6 Pterodaustro


     อีกหนึ่งในสกุลหนึ่งในสกุลของ Pterosaurs(สัตว์เลื้อยคลานบินได้)อาศัยอยู่ในอเมริก าใต้เมื่อ 105 ล้านปีมาแล้ว จุดเด่นที่ขากรรไกล่างของตัวปเตโรดาอุสโตร มีลักษณะเหมือนกะชอนซึ่งเป้นกระดูกที่แข็งแกร่ง จนปากเหมือนปลาวาฬ โดยพวกมันคงจะใช้ปากกระชอนอันนี้เพื่อกรองปลาและสัตว ์ตัวเล็กๆในทะเลเอาไว้กิน

อันดับ 7 Nyctosaurus


     นิคโธซอรัส หนึ่งในสกุลของ Pterosaurs(สัตว์เลื้อยคลานบินได้) เป็นไดโนเสาร์ที่พึ่งพบฟอสซิลมันในปี 1876 ที่แคสซัสอเมริกา และปี 2003 ก็มีการพบฟอสซิลที่สมบูรณ์ของตัวมัน มันมีชีวิตอยู่เมื่อ 65 ล้านปีมาแล้ว จุดเด่นคือหงอนแปลกๆขนาดใหญ่(มีหลายแบบ) ไม่มีอุ้มเล็บที่ปีก ปากแหลม และขนที่มีสีสันแปลกๆ ชอบบินเหนือทะเลเพื่อจับเหยื่อในน้ำ

อันดับ 8 Sharovipteryx


    มีสัตว์เลื้อยคลานหลายชนิดสามารถบินได้ในสมัยของไดโน เสาร์ แต่เท่าที่เรารู้มานั้นไม่มีสัตว์เลื้อยคลานที่บินได ้เหล่านี้สายพันธุ์ใดเป็นไดโนเสาร์ที่แท้จริง สัตว์เลื้อยคลานที่บินได้นี้เรียกว่า ปเตโลเสาร์ (pterosaur) บางชนิดตัวขนาดเล็กเท่านกนางแอ่นก็มีแต่ที่ตัวโตมากๆก็มีอีกเหมือนกัน สำหรับไดโนเสาร์ตัวนี้มีลักษณะคล้ายกับเจ้า Microraptor แต่จุดเด่นคือขาติดปีกที่ยาวบนหลังมัน และสองขาติดปีกที่ขาหน้าที่มีขนาดเล็ก ซึ่งคาดว่ามันบินกระโดดไปมาแล้วร่อนลงพื้น นักวิทยาศาสตร์คาดว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับพวก Pterosaurs(สัตว์เลื้อยคลานบินได้) อาศัยอยู่บนต้นไม้ ซึ่งรูปร่างของมันเหมาะสมในการปีนต้นไม้นั้นเอง

อันดับ 9 Tanystropheus


    ทาไนสโตรพีอัส(Tanystropheus) มีขนาดยาวประมาณ 6 เมตร จุดเด่นคือมันมีคอยาวเฟื้อยเหมือนงูที่วัดได้ถึง 3 เมตร(10 ฟุต) สามารถยืดออกได้ไกลอีกด้วย แต่มีขาที่ค่อนข้างสั้น ทำให้มันตะเกียดตะกายเดินบนพื้นดินได้ไม่ดีนัก ดังนั้นมันจึงมีชีวิตส่วนใหญ่อยู่แต่ในน้ำ ซึ่งมันสามารถที่จะวิ่ง หรือเดินไปใต้น้ำได้อย่างรวดเร็ว คอที่ยาวของมันนั้น สันนิษฐานว่าคงเอาไว้สำหรับการหายใจ คือมันจะชูคอขึ้นมาหายใจ หรือมองอะไรๆได้ในขณะที่ตัวยังอยู่ใต้น้ำ และจับปลากินด้วยคอที่แสนจะอภิมหายาวของมัน และหากหาปลาไม่ได้มันก็จะหาสัตว์น้ำชนิดอื่นกินแทน แม้มันจะมีรูปร่างคล้ายไดโนเสาร์แต่มันก็ไม่ใช่ไดโนเสาร์ นักวิทยาศาสตร์เพียงแค่จัดมันให้อยู่ในกลุ่มสัตว์เลื้อยคลานโบราณ ฟอสซิลของมันถูกพบที่ยุโรปและตะวันออกกลาง

อันดับ 10 Longisquama


     มีอีกชื่อว่า “จิ้งจอก” ไม่ใช้ไดโนเสาร์ แต่เป็นสัตว์เลื้อยคลานที่ขนาดใหญ่ ในยุคภูเขาไฟระเบิดเมื่อ 230-225 ปีมาแล้ว ดูเหมือนว่าจุดเด่นของมันคือแผงหลังสีสดและยาวใหญ่ บนหลังมันมีการพบฟอสซิลของมันหากแต่นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายยังถกเถียงถึงรูปร่างจร ิงๆ ของมัน ที่มันอาจมีรูปร่างไม่เหมือนจากที่เห็นก็ได้ นอกจากนี้ยังศึกษาอีกด้วยว่ามันเป็นญาติห่างๆ ของนกหรือเปล่า

อันดับ 11 Microraptor


     แปลว่าเจ้าโจรน้อย ไดโนเสาร์ขนาดเล็กยุคต้นครีเตเชียส(เทียบขนาดแล้วมัน เล็กเท่าต้นขาของมนุษย์ปกติเท่านั้น) เป็นไดโนเสาร์ที่บิน ที่จุดเด่นคือขนบริเวณหางที่ยาวจนเรียกว่าเป็นปีกอีก คู่ได้เลย ทำให้ดูแล้วน่าตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่ง ซึ่งปีกคู่นี้ช่วยให้ไดโนเสาร์ชนิดนี้สามารถบินได้อย ่างสมดุล ไดโนเสาร์ชนิดนี้ถูกพบครั้งแรกเมื่อ ปี 2000 ในประเทศจีน และเป็นฟอสซิลแรกที่พบร่องรอยชัดเจนของขน ซึ่งพบว่ามันมีชีวิตเมื่อ 120 ล้านปีมาแล้ว ซึ่งการพบครั้งนี้ช่วยให้ทฤษฏีว่าไดโนเสาร์คือญาติห่ างๆ ของนกได้เป็นอย่างดี

อันดับ 12 Epidendrosaurus

     มันมีชื่อหนึ่งว่า “ตะกวดต้นไม้” เป็นไดโนเสาร์ที่กำลังวิวัฒนาการเป็นนกเหมือนเจ้า Epidexipteryx เป็นไดโนเสาร์ที่วิวัฒนาการเพื่อเหมาะแก่การดำรงชีวิ ตบนต้นไม้ รูปร่างจึงมีขนาดเล็ก จุดเด่นของมันคือมันมีนิ้วสาวนิ้วที่ยาวอย่างน่าประห ลาด เมื่อเทียบกับนิ้วของไดโนเสาร์ชนิดอื่นๆ ทั้งๆ นี้เพราะมันใช้นิ้วนั้นเพื่อขุดหาแมลงบนต้นไม้นั้นเอ ง ส่วนฟอสซิลของมันถูกพบในทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน แต่ไม่สามารถระบุอายุมันได้ แต่คาดว่ามันเคยอาศัยบนโลกเมื่อ 169 ล้านปีมาแล้ว

อันดับ 13 Epidexipteryx


    เป็นไดโนเสาร์ญาติของแรพเตอร์ที่ถูกพบในจีนเมื่อปี 2008 ในชั้นหินอายุประมาณ 152-168 ล้านปีในสภาพที่สมบูรณ์มาก ตัวมันมีขนาดประมาณ 20 เซนติเมตรและปกคลุมด้วยขนคล้ายนก ซึ่งปัจจุบันไม่แปลกแต่อย่างใดเพราะเราทราบกันดีว่าไ ดโนเสาร์นั้นเป็นบรรพบุรุษของนก ไดโนเสาร์ชนิดนี้สูงเพียง 10 นิ้ว และบินไม่ได้ หากแต่มันก็มีลักษณะพิเศษคือมีขนและหางหางยาวเฟื้อยท ี่มีสีสันฉูดฉาดใช้ดึงดูดเพศตรงข้ามให้มาผสมพันธุ์แล ะเพื่อความอบอุ่น

อันดับ 14 Therizinosauridaes


     เป็นไดโนเสาร์กินเนื้อผู้ลึกลับ เรารู้จักเรื่องราวของมันค่อนข้างน้อย เนื่องจากฟอสซิลที่สมบูรณ์ของมันมีการค้นพบไม่ค่อยมา กเท่าไหร่ จุดเด่นของมันคือมันมีคอยาว และเล็บขนาดใหญ่ และขนของนกระหว่างแขนที่มีสีสันฉูดฉาด แตกต่างไดโนเสาร์กินเนื้อทั่วๆ ไป

อันดับ 15 Deinotherium


     หรือช้างงาจอบ เป็นบรรพบุรุษของช้าง ที่มีชีวิตอยู่เมื่อ 25 ล้านปีก่อน ที่ต่างจากช้างโบราณทั่วไปคือ ไม่มีงางอกออกจากขากรรไกรบน แต่กลับมีงางอกออกจากขากรรไกรล่าง1 คู่(คาง) งาที่งอกออกมามีลักษณะโค้งลงด้านล่าง ใช้ประโยชน์เพื่อการขุดดินหารากไม้หรือปอกเปลือกไม้เ ป็นอาหาร มีขนาดใกล้เคียงกับช้างเอเชียตัวเมีย แต่ลำตัวค่อนข้างสั้นเมื่อเทียบกับบรรพบุรุษช้างอื่น ๆ พบครั้งแรกในแถบแอฟริกาตะวันออก ปัจจุบันพบซากดึกดำบรรพ์ที่ทวีปยุโรป เอเชีย แล ในประเทศไทยในที่อำเภอปง จังหวัดพะเยา และมาพบอีกที่บ่อดูดทราย ตำบลท่าช้าง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ